ทำไมลูกถึงไอเรื้อรัง
ทำไมลูกถึงไอเรื้อรัง (1)
การไอเรื้อรังมีสาเหตุจากอะไรบ้าง
คุณพ่อคุณแม่บางท่านคงสงสัยว่าทำไมเวลาลูกมาสบายเป็นหวัด ถึงได้ไอต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งจะถือได้ว่าไอเรื้อรัง ถ้านานเกิน 3 สัปดาห์ติดต่อกัน กรณีที่ไอมีเสมหะเสียงครืดคราดในลำคอ หรือแม้แต่บางรายมีอาการกระแอมเป็นประจำ ส่วนหนึ่งเกิดจากมีน้ำมูกเรื้อรังและไหลลงจากจมูกสู่ลำคอ เด็กกลุ่มที่จะพบมีน้ำมูกเรื้อรังได้แก่กลุ่มภูมิแพ้ที่มีอาการทางจมูก ซึ่งจะมีน้ำมูกใสๆในเวลาอากาศเย็น ช่วงเช้า และกลางคืน จามและอาจมีอาการคันตาและจมูกร่วมด้วย , เด็กที่มีไซนัสอักเสบ นอกจากนี้เด็กที่มีต่อมอดีนอยด์โต ซึ่งเป็นต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ช่องจมูก ต่อมนี้จะอุดกั้นการถ่ายเทของโพรงไซนัสและท่อเปิดจากหูชั้นกลาง ทำให้มีน้ำมูกเรื้อรัง เป็นไซนัสอักเสบและหูอักเสบบ่อยๆ
ทำไมเด็กจึงมักไอกลางคืนหรือเวลาที่อากาศเย็น
ในท่านอนน้ำมูกจะหยดลงมาที่คอง่าย อากาศที่เย็นจะแห้งทำให้น้ำมูกและเสมหะเหนียว รวมทั้งกลไกลการทำงานของขนเส้นเล็ก ๆ ในทางเดินหายใจที่คอยพัดโบกน้ำมูกและเสมหะออกไป ทำงานได้ไม่ดี จึงมีน้ำมูกและเสมหะคั่งค้างมาก ทำให้ไอมาก ในภาวะอากาศแห้ง
ควรทำอย่างไรเมื่อลูกไอ
ควรพาไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด ถ้ามีไซนัสอักเสบต้องให้ยาปฏิชีวนะ การให้ยาลดน้ำมูก และยาลดการบวมในจมูก จะใช้ในรายที่มีภูมิแพ้ร่วมด้วย การให้ยาหยอดจมูกเพื่อให้จมูกโล่งจะใช้เมื่อแน่นจมูกมาก ๆ และไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 4 – 5 วัน
วิธีที่ดีและปลอดภัย คือการล้างน้ำมูกในจมูกออกมาด้วยน้ำเกลือเพราะน้ำมูกเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เด็กไอ
การล้างจมูกทำอย่างไรบ้าง
ในเด็กเล็กใช้น้ำเกลือ 1 – 2 หยด หยดลงในจมูกทีละข้างขณะนอนตะแคงหน้าโดยจับหน้าให้นิ่งน้ำเกลือจะทำให้น้ำมูกไม่เหนียวและไหลลงไปได้เอง ถ้ามีน้ำมูกมากอาจใช้ลูกยางแดง เบอร์ 0 – 1 ช่วยดูดน้ำมูกโดยใส่ในรูจมูกลึก ประมาณ 1 – 1.5 ซ.ม. แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวัง ในเด็กโตถ้าน้ำมูกไม่มากนักให้ทำขณะนั่ง โดยแหงนหน้าเล็กน้อย ใช้น้ำเกลือหยดเข้าจมูกข้างละ 3 – 4 หยด ทิ้งไว้สักครู่ แล้วก้มหน้าสั่งน้ำมูก ทำซ้ำหลายครั้งจนสะอาด แล้วจึงทำอีกข้างที่เหลือ แต่ถ้าน้ำมูกที่ปริมาณมากแนะนำให้ใช้หลอดฉีดยา ขนาด 10 ซีซี (ไม่ใส่เข็ม ) ดูดน้ำเกลือครั้งละ 5 – 10 ซีซี ค่อยๆ ฉีดเข้าในรูจมูก ขณะก้มหน้าและภาชนะรองรับไม่จำเป็นต้องฉีดแรง จะพบน้ำมูกไหลตามออกมา จากนั้นให้สั่งน้ำมูก แล้วทำซ้ำหลาย ๆ ครั้งในแต่ละข้างจนสะอาด ควรทำบ่อยๆ อย่างน้อยเมื่อตื่นนอนตอนเช้า และก่อนเข้านอน ช่วงกลางวันถ้าแน่นจมูกหรือน้ำมูกมากก็ควรทำซ้ำอีก
การล้างจมูกมีอันตรายหรือไม่
ส่วนมากคุณพ่อคุณแม่รวมทั้งตัวเด็ก จะบอกตรงกันว่าสบายขึ้นและโล่งจมูก นอนได้ดีขึ้นไม่ไอ รับประทานนมและอาหารได้ สำหรับเด็กเล็ก การดูดน้ำมูกต้องทำด้วยความนุ่มนวล และจับหน้าให้นิ่ง เด็กโตไม่จำเป็นต้องสั่งน้ำมูกแรง แต่ให้ทำหลายๆครั้ง น้ำเกลือที่ใช้มีสัดส่วนใกล้เคียงกับสารในร่างกาย จึงไม่มีอันตรายถ้าหยอดลงคอไปบ้างก็ไม่มีอันตรายเช่นเดียวกัน
ถ้าปล่อยให้ลูกมีน้ำมูกและไอเรื้อรังจะมีอันตรายอย่างไร
ในรายที่เป็นหอบหืด จะทำให้อาการกำเริบ และไม่ค่อยตอบสนองต่อการรักษา เมื่อเป็นนานๆ จะมีเสมหะคั่งค้างในปอดได้การที่น้ำมูกหยอดผ่านลงคอนานๆ ทำให้เจ็บคอ ร่วมกับการที่เด็ก แน่นจมูกจึงต้องอ้าปากหายใจเอาอากาศที่แห้งและเจ็บคอ มีโอกาสเป็นหูชั้นกลางอักเสบได้ง่ายนอกจากนี้จะรับประทานนมและอาหารได้ลดลงรวมทั้งนอนหลับไม่สนิทจากการตื่นไอบ่อย ๆ
ทำไมลูก….? จึงเรื้อรัง (2)
การไอเกิดจากอะไร ไอเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในทางเดินหายใจ อาจเป็นฝุ่นละอองหรือเสมหะที่เกิดจากไข้หวัด หลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบ ร่างกายจะกำจัดสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้โดยการไอออกมา สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือที่ทำให้ไอเรื้อรังคือการมีเสมหะคั่งค้างในหลอดลม
ควรทำอย่างไรเมื่อลูกไอ
บางครั้งจะพบว่าลูกไอมาก แต่ไอไม่ออก ไอจนเหนื่อย หรือไอจนปวดท้องก็ยังไม่หยุดไอ ทั้งนี้เนื่องจากเสมหะที่เหนียวมาก และจากการไอที่ไม่ถูกวิธี อาจเปรียบเทียบเสมหะที่ค้างในหลอดลมกับซอสมะเขือเทศที่มีเหลือติดก้นขวด การที่นำซอสออกมานั้นเราต้องคว่ำขวดลง ใช้มือเคาะก้นขวด แล้วเขย่าแรงๆเช่นเดียวกับเสมหะที่อยู่ในหลอดลม เราต้องจัดท่านอนหรือนั่งในแนวที่ทำให้เสมหะไหลออกมาสะดวก จากนั้นต้องมีการเคาะ เพื่อให้เสมหะหลุดจากหลอดลม การสั่นสะเทือนเพื่อกระตุ้นการไอ ตลอดจนฝึกการไออย่างมีประสิทธิ์ภาพ เสมหะจึงหลุดออกมาได้ ในกรณีเด็กเล็กที่อาจไม่สามารถบ้วนเสมหะออกมาได้ แค่เพียงการเคาะและการไอที่ถูกต้องเสมหะก็หลุดออกมาจากหลอดลมได้ ถ้ามีเสมหะมากๆในเด็กเล็กอาจต้องใช้ลูกยางแดง เบอร์ 1ช่วยดูดเสมหะในปาก หากมีบางส่วนกลืนลงไปบ้างร่างกายก็จะขับถ่ายออกมาได้เอง
การช่วยลูกให้ไอเอาเสมหะออกจะต้องทำอย่างไร
ทำไมเสมหะไม่เหนียว โดยการดื่มน้ำมากๆ
การเตรียมตัว สั่งน้ำมูกและบ้วนหรือดูดเสมหะในจมูกและปากที่มีมากออกก่อน และควรทำก่อนอาหาร หรือหลังอาหาร 1 ½-2 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้อาเจียนหรือสำลัก
การจัดท่าที่เหมาะสม จะช่วยให้เสมหะจากปอดส่วนต่างๆ ถูกขับออกมาได้ง่ายขึ้น ให้ทำการเคาะแล้วจึงทำการสั่นสะเทือนในแต่ละท่า ท่าละ 3-6 นาที รวมทุกท่าไม่ควรนานเกิน 15-30 นาที แล้วจึงลุกนั่งหรือยืนเพื่อให้ไออย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเด็กเหนื่อยหรือเบื่อ ก็ทำเพียงบางท่า การเคาะระบายเสมหะ หลักการคือใช้แรงสั่นจากลมที่กระทบผนังทรวงอกขณะเคาะ ไปทำให้เสมหะหลุดออกจากหลอดลม โดยใช้ผ้าขนหนูบางๆวางบนตำแหน่งที่จะเคาะ ขณะเคาะให้ทำมือเป็นกระเปาะ ปลายนิ้วชิดกันและมีการเคลื่อนไหว สบายๆตรงข้อมือ ข้อศอก และไหล่ ด้วยความถี่ 3 ครั้งต่อวินาที ให้ทั่วๆ บริเวณทรวงอกส่วนที่เคาะอยู่
โดยวนเป็นวงกลมหรือเลื่อนไปทางซ้ายและขวา ส่วนมากเด็กจะรู้สบายเหมือนมีคนนวดให้ บางรายนอนหลับสบายขณะเคาะ
การสั่นสะเทือนเพื่อช่วยการไอ การทำจะยากกว่าการเคาะถ้าคุณพ่อคุณแม่ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องเป็นกังวลกับขั้นตอนนี้ การสั่นสะเทือนทำโดยวางฝ่ามือลงบนทรวงอก ในเด็กเล็กวางมือประกบบริเวณด้านหน้าทั้ง 2 ด้าน เด็กโตอาจวางมือซ้อนทับกัน เกร็งทุกส่วนจากไหล่ ข้อศอก มือ แล้วทำให้เกิดการสั่นสะเทือน โดยเริ่มขณะที่หายใจเข้าจนสุดไปจนตลอดการหายใจออก จะช่วยให้ไอเอาเสมหะออกมาได้ดีขึ้นปอดส่วนบนด้านบนสุดนั่งเองไปด้านหลัง 30 องศาเคาะและสั่นสะเทือนบริเวณบ่าด้านหลัง ปอดส่วนบ่นด้านหลัง นั่งเอนไปด้านหน้า 30 องศาอาจกอดหมอนให้สบายขึ้น เคาะและสั่นสะเทือนบริเวณบ่าด้านหลัง ปอดส่วนบนด้านหน้านอนราบและเคาะทรวงอกด้านหน้าส่วนบนทั้ง 2ข้าง ปอดส่วนล่างด้านบน นอนคว่ำหนุนหมอน 2ใบ โดยสอดไว้ใต้สะโพกให้ลำตัวทำมุม 15 องศา กับพื้น เคาะและสั่นสะเทือนบริเวณกลางหลัง ปอดส่วนล่างด้านหลัง นอนคว่ำหนุนหมอน 2 ใบ ให้ลำตัวทำมุม 30 องศากับพื้น เคาะและสั่นสะเทือนบริเวณชายโครงด้านล่าง ปอดส่วนล่างด้านหน้า นอนตะแคงหนุนหมอน 2 ใบเพื่อให้ศีรษะต่ำ ให้ลำตัวทำมุม 30 องศากับพื้น เคาะและสั่นสะเทือนบริเวณชายโครงด้านล่าง ปอดส่วนล่าง ด้านข้าง นอนตะแคงหนุนหมอน 2 ใบให้ลำตัวทำมุม 30 องศากับพื้น พลิกตัวเอนไปด้านหน้าเล็กน้อย เคาะและสั่นสะเทือนบริเวณชายโครงด้านหลังทุกท่าให้ทำทั้งด้านซ้ายและขวาสลับกัน
การไอให้มีประสิทธิภาพ ต้องหายใจเข้าเต็มที่ แล้วกั้นหายใจ1-2วินาที เพื่อให้ลมกระจายไปทั่วทุกส่วนของปอดและมีแรงขับดันเอาเสมหะออกมาได้เต็มที่จากนั้นไอติดต่อกัน2-3ครั้ง การให้เด็กเล็กสูดหายใจเข้าเต็มที่อาจใช้ของเล่นที่ต้องสูดหายใจแรงๆมาช่วย เช่นเป่าลูกโป่ง เป่าฟองสบู่ หรือ เป่ากังหัน เป็นต้น
จะต้องช่วยลูกให้ไอเมื่อไรบ้าง
ทำบ่อยได้แค่ไหน ส่วนมากเสมหะจะคั่งค้างมากตอนกลางคืน เมื่อตื่นนอนตอนเช้าจึงไอมาก จึงควรทำเมื่อตื่นเช้าและก่อนเข้านอนเพื่อให้หลับสบายและอาจทำเพิ่มก่อนอาหารกลางวัน ,ช่วงบ่าย รวมทั้งกลางคืน ถ้านอนหลับไปสักพักแล้วไอมาก จะช่วยให้เด็กหลับต่อได้ดีขึ้น
ทราบได้อย่างไรว่าลูกดีขึ้น ลูกจะไอลดลง เสียงครืดคราดลดลงดื่มนมและหลับได้นานขึ้น
มีข้อห้ามหรือไม่ ในรายที่เป็นหอบหืดควรให้อาการหอบดีขึ้นก่อนโดยการพ่นหรือสูดยาขยายหลอดลม ให้หลอดลมเปิดโล่งและขั้นตอนการไอต้องไม่ทำนานเกินไป
มีผลเสียอย่างไรบ้าง เมื่อเปรียบเทียบแล้ว ผลเสียจากการมีเสมหะคั่งค้างมีมากและเป็นอันตรายกว่ามาก เพราะเสมหะเป็นแหล่งเพาะเชื้อที่ดี พบว่าลูกจะไม่สบายมีไข้ และยิ่งไอไม่หายเสียที หายใจเหนื่อยหอบอาจเป็นปอดบวม ปอดแฟบจากเสมหะอุดตัน หรือถุงลมโป่งพองออก บางรายไอมากจนปวดท้อง เพราะการไอต้องใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องและกะบังลมซึ่งอาจช่วยได้โดยการใช้สองมือวางประสานกัน กดเล็กน้อยบริเวณหน้าท้องเพื่อช่วยลดอาการปวด ส่วนการเคาะระบายเสมหะ ถ้าทำได้ถูกเวลา ท่าทางและวิธีแล้ว จะไม่มีอันตรายแต่อย่างใดสามารถทำได้ในเด็กแรกเกิดจนถึงเด็กโต โดยปรับแรงเคาะให้เหมาะสมกับน้ำหนักและรูปร่าง ช่วงแรกเด็กอาจไม่คุ้นเคยจะร้องบ้าง ต่อมามักจะชอบเนื่องจากเรียนรู้ว่าทำให้เขาสบายขึ้น มีเด็กหลายคนติดใจต้องให้คุณพ่อ คุณแม่กล่อมนอนด้วยการเคาะปอดทุกคืนจึงจะหลับสบาย
ควรให้ ยา แก้ไอหรือไม่
ในรายที่ไอมีเสมหะ การให้ยาแก้ไอชนิดกดการไอ จะยิ่งมีผลเสียเพราะเสมหะคั่งค้าง แต่ยาแก้ไอที่มีฤทธิ์ขยายหลอดลมหรือละลายเสมหะจะได้ผลดี รวมทั้งยาลดน้ำมูกบางชนิดที่มีส่วนประกอบที่ทำให้น้ำมูกและเสมหะยิ่งเหนียวมากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการใช้ยาที่เหมาะสม
เมื่อลูกป่วยเป็นโรคหอบหืด พาลูกไปออกกำลังกายจะได้ไหม
ช่วงที่ไม่มีอาการสามารถพาลูกไปออกกำลังได้โดยเริ่มจากการออกกำลังกายน้อย ๆ พยายามอย่าหักโหมทันที ในบางรายอาจจำเป็นต้องสูดยาขยายหลอดลมก่อนและไม่ออกกำลังกายจนเหนื่อยมากเกินไป กีฬาที่เหมาะสมคือว่ายน้ำในเวลาที่อากาศอบอุ่น สำหรับการออกกำลังกายในสภาพแวดล้อมที่อากาศแห้งและเย็นเกินไปจะทำให้ลูกหอบได้
ป้องกันไม่ให้ลูกเป็นหอบหืดได้หรือไม่
การให้ลูกกินนมแม่อย่างน้อย 4 เดือน จะทำให้มีภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อที่จะทำให้เกิดอาการทางระบบทางเดินหายใจได้ พยายามหลีกเลี่ยงจากเด็กอื่นที่ป่วยมีอาการไอหรือจามเลี่ยงจากฝุ่น ควันบุหรี่ สารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ และรีบพาไปพบแพทย์เมื่อมีอาการหอบเพื่อที่จะได้รับการรักษาและทราบวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเพื่อป้องกันไม่ให้หอบซ้ำอีก
เมื่อลูกเป็นหอบแล้วต้องใช้ยานาน ๆ จะมีผลเสียหรือไม่
ปัจจุบันแพทย์พยายามให้ยาขยายหลอดลมในรูปพ่น ซึ่งจะเข้าสูปอดโดยตรงออกฤทธิ์เร็วและยาที่ใช้จะมีปริมาณน้อยกว่าการให้ยารับประทานมาก จึงไม่ต้องกังวลกับผลตกค้างจากยา ส่วนยากลุ่มสเตียรอยด์ซึ่งใช้ในการป้องกันนั้น ถ้าใช้ในขนาดและวิธีที่เหมาะสมภายใต้การดูแลของแพทย์ก็จะไม่เป็นอันตราย
ทราบได้อย่างไรว่าลูกมีอาการหอบ
ลูกจะหายใจเร็วและแรงกว่าปกติอาจได้ยินเสียงหวีดขณะหายใจ หน้าอกบุ๋มและอาจเห็นปีกจมูกบาน เด็กที่พูดได้จะบอกว่าเหนื่อย แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ถ้าเป็นมากลูกจะเหนื่อยจนไม่มีแรงพูด อาจพบว่าริมฝีปากมีสีเขียวคล้ำได้
หอบและหอบหืดต่างกันอย่างไร
หอบอาจเกิดจากโรคหลอดลมอักเสบปอดบวมหรือสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหลอดลม ส่วนหอบหืดเกิดจากหลอดลมที่ตีบตัวลงเมื่อได้รับสารกระตุ้น อาการจะเกิดขึ้นรวดเร็วและเป็น ๆ หาย ๆ โดยดีขึ้นทันทีเมื่อได้รับยาขยายหลอดลม แต่ในเด็กอาจเริ่มต้นจากอาการไอโดยเฉพาะในเวลากลางคืนเมื่อมีอาการมากขึ้นจึงจะหายใจหอบชัดเจน
ทำไมลูกจึงป่วยเป็นหอบหืด
มักเป็นกรรมพันธุ์ร่วมกับการขาดการป้องกันและสัมผัสกับสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการบ่อย ๆ เช่น สารที่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้ ที่พบมากในเด็กไทยคือ ตัวไรในฝุ่น ซึ่งอยู่ตามหมอน ผ้านวม ที่นอน รังแคและน้ำลายที่อยู่ตามขนของสัตว์เลี้ยง ละอองเกสร และแมลงสาบเป็นต้น จากปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับภูมิแพ้ เช่น การออกกำลังกาย การติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจ และควันบุหรี่เป็นต้น
การรักษาเมื่อลูกมีอาการหอบ
คุณพ่อ คุณแม่ควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าหอบที่ลูกเป็นอยู่เกิดจากหอบหืดใช่หรือไม่ ถ้าเป็นหอบหืดแพทย์จะรักษาโดยการให้ยาขยายหลอดลม บางรายต้องให้ออกซิเจนด้วย อาการของลูกจะค่อย ๆ ดีขึ้นรวมทั้งแพทย์จะต้องตรวจหาโรคอื่นที่อาจเป็นร่วมมาในคราวเดียวกัน จากนั้นแพทย์จะแนะนำยาที่ต้องนำไปใช้ที่บ้าน ซึ่งมีทั้งยากินยาสูดเข้าทางปาก รวมทั้งการปฏิบัติตัวที่บ้านเมื่อลูกหอบคราวหน้าและควรพาลูกมารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
ลูกจะมีชีวิตเหมือนเด็กปกติคนอื่น ๆ ได้หรือไม่ต้องระวังอย่างไรบ้าง
เด็กที่เป็นหอบหืดก็เหมือนเด็กปกติทั่วไปแต่ต้องระวังตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลีกเลี่ยงสารที่แพ้หรือสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น การระวังตัวไรในฝุ่นทำได้โดย ไม่ควรมีตุ๊กตามีขนหมอนนุ่นและของที่เก็บฝุ่นในห้องนอน ซักผ้าปูที่นอนในน้ำอุ่นประมาณ 60 C นานครึ่งชั่วโมง สัปดาห์และครั้ง หรือใช้ผ้าคลุมเตียงชนิดพิเศษที่สามารถป้องกันตัวไรฝุ่น เปิดให้นอนให้โล่งแสงแดดส่องถึงและอากาศถ่ายเทในเวลากลางวัน หมั่นนำผ้านวม หมอนออกตากแดดหลีกเลี่ยงการปูพรม ถ้าจำเป็นก็ต้องดูดฝุ่นบ่อย ๆ ผู้ใหญ่ควรเลิกหรือสูบบุหรี่นอกบ้าน สุนัขและแมวควรเลี้ยงไว้นอกบ้านหรืออย่างน้อยไม่ควรให้อยู่ในห้องนอนของลูก หลีกเลี่ยงที่แออัดมีควันและเลี่ยงจากเด็กที่ป่วยมีอาการไอ จาม ในบางรายแพทย์จะให้ใช้เครื่องวัดการทำงานของปอดอย่างง่าย ๆ เพื่อใช้เป็นตัวบอกว่าลูกเริ่มจะมีอาการหอบ และจะได้ให้ยาทันท่วงที
เวลาลูกหอบอยู่ที่บ้านควรทำอย่างไร
ให้ลูกนอนพักอยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี ใช้ยาขยายหลอดลมที่คุณหมอให้พกประจำตัวอย่างถูกวิธี ไม่ต้องตกใจจนเกินไป ถ้ายังหอบให้ใช้ยาซ้ำได้อีก 15 นาทีต่อมาแต่ไม่เกิน 3 ครั้ง แล้วรีบไปพบแพทย์ใกล้ที่สุดเพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป
มีข้อสงสัยกรุณาติดต่อ คลินิกหูคอจมูก คลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา
โทรศัพท์ 02-3190909 ต่อ2309-2310 เวลา 08.00-19.00น.
Leave a reply